ทุกข์ แสดงถึง สิ่งที่ปรุงแต่งทั้งปวงเป็นทุกข์ นี้คือบอกตรงๆ ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไรนั่นเอง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ใจ แต่คนทั้งหลายไม่รู้ ไม่เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นเป็นความทุกข์ จึงได้มีความอยากในสิ่งเหล่านั้น ถ้ารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นความทุกข์ไม่น่าจะอยากและไม่น่ายึดติด ไม่น่าผูกพันตัวเองเข้ากับ สิ่งใดแล้ว เขาก็คงจะไม่ไปอยากซึ่งตัวทุกข์โดยตัวทุกข์ หมายถึง ขันธ์ ๕
สมุทัย แสดงถึง ความอยากด้วยอวิชชา (ความไม่รู้) นั้นเป็นต้นเหตุของความทุกข์ คนทั้งหลายก็ยังไม่รู้ไม่เห็น ไม่เข้าใจว่าความอยากนี้แหละเป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจ จึงได้พากันอยากนั่น อยากนี้ ร้อยแปดพันประการเพราะไม่รู้ว่าความอยากด้วยอวิชชา (ความไร่รู้) นั้นคือสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์
นิโรธ แสดงถึง นิโรธหรือนิพพาน การดับความอยากเสียได้สิ้นเชิงเป็นความไม่มีทุกข์ คนทั้งหลายยิ่งไม่รู้จักกันใหญ่ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่อาจลุถึงได้ในที่ทั่วๆ ไป คือพบได้ตรงที่อยากมันดับลงไปนั้นเอง นี่คือไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงไม่มีใครปรารถนาได้จะดับความอยาก ไม่ปรารถนานิพาน เพราะไม่รู้ว่าอะไรคือนิพพาน
มรรค แสดงถึง วิธีความอยากนั้นๆ เสีย ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าการทำอย่างนี้เป็นวิธีดับความอยาก ไม่มีใครสนใจเรื่องอริยมรรค อันมีองค์ ๘ ประการของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เลิศประเสริฐที่สุดในบรรดาวิชาความรู้ของมนุษย์เราในโลกนี้ ที่สามารถดับความอยากเสียได้ ไม่รู้จักอะไรเป็นที่พึ่งแก่ตน อะไรควรขวนขวายอย่างยิ่ง นี่แหละคือการไม่รู้อะไรเป็นอะไรอย่างน่าหวาดเสียว
พญานาคตัวที่ ๑ คือ เห็นชอบ (สัมมาทิฐิ) (ปัญญา) ได้แก่ ความรู้ อริยสัจ ๔ หรือ
รู้อกุศล และอกุศลและกุศลมูล หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท โดยการเข้าใจชอบหรือเห็นชอบนั้นมีอยู่ ๒ ประเภท คือ
๑. ความเข้าใจ คือความรู้ ความเป็นพหุสุตร ความมีสติปัญญา สามารถรอบรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งตามข้อมูลที่ได้มา ความเข้าใจประเภทนี้เรียกว่า “ ตามรู้ “ (อนุโพธ) เป็นความเข้าใจที่ยังไม่ลึกซึ่ง
๒. ส่วนความเข้าใจที่ลึกซึ้งซึ่งเรียกว่า “ การรู้แจ้งแทงตลอด “ (ปฏิเวช) หมายถึงมองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามสภาวะที่แท้จริง โดยไม่คนึงถึงชื่อและป้ายชื่อยี่ห้อของสิ่งนั้น การรู้แจ้งแทงตลอดนี้ขึ้นได้ เมื่อจิตปราศจาก อาสวะทั้งหลาย และได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ด้วยการปฏิบัติสมาธิเท่านั้น
พญานาค ๒ คือ ดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) (ปัญญา) ได้แก่ ความตึกที่เป็นกุศล ความนึกคิดที่ดีงาม (กุศลวิตก ๓) ประกอบด้วย
๑. ความตรึกปลอดจากกาม ความนึกคิดในทางเสียสละ ไม่ติดในการปรนเปรอสนองความอยากของตน
๒. ความตรึกปลอดจากพยาบาท ความนึกคิดที่ประกอบด้วยเมตตาไม่ขัดเคียง หรือ เพ่งมองในแง่ร้าย
๓. ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียนด้วยกรุณาไม่คิดร้าย หรือมุ่งทำลาย
พญานาคตัวที่ ๓ คือ เจรจาชอบ (สัมมาวาจา) (ศีล) ได้แก่ วจีสุจริต ๔ ประกอบด้วย
๑. ไม่พูดเท็จ
๒. ไม่พุดส่อเสียด
๓. ไม่พูดหยาบ
๔. ไม่พูดเพ้อเจ้อ
พญานาคตัวที่ ๔ คือ กระทำชอบ (สัมมากัมมันตะ) (ศีล) ได้แก่ กายสุจริต ๓ ประกอบด้วย
๑. ไม่ฆ่าสัตว์
๒. ไม่ลักทรัพย์
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม
พญานาคตัวที่ ๕ คือ คือเลี้ยงชีพชอบ (สัมมาอาชีวะ) (ศีล) ได้แก่
เว้นมิจฉาชีพ ประกอบสัมมาชีพ
พญานาคตัวที่ ๖ คือ พยายามชอบ (สัมมาวายามะ) (สมาธิ) ได้แก่ สัมมัปปธาน ๔ ประกอบด้วย
๑. เพียรระวัง หรือเพียรปิดกั้น คือเพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดมืให้เกิดขึ้น
๒. เพียรละ หรือเพียรกำจัดหรือเพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
๓. เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
๔. เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่นและให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์
พญานาคตัวที่ ๗ คือ ระลึกชอบ (สัมมาสติ) (สมาธิ) ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ ประกอบด้วย
๑. การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย
๒. การตั้งสติสะกดเวทนา
๓. การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต
๔. การตั้งสติพิจรณาธรรม
พญานาคตัวที่ 8 คือ การตั้งจิตมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ) (สมาธิ) ได้แก่ ฌาน ๔ ประกอบด้วย
๑. ปฐมฌาน
๒. ทุติยฌาน
๓. ตติยฌาน
๔. จตุตถฌาณ
อยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสิเนรุ
เป็นผู้ปกครองคันธัพพเทวดทั้งหมด
อยู่ทางทิศใต้ของภูเขาสิเนรุ
เป็นผู้ปกครองกุมภัฑเทวดาทั้งหมด
ทางทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ
เป็นผู้ปกครองนาคเทวดาทั้งหมด
อยู่ทางทิศเหนือของภูเขาสิเนรุ
ผู้ปกครอง ยักขะเทวดาทั้งหมด